วันศุกร์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ผลการเรียนรู้ในสัปดาห์ที่ 1

การจัดการเทคโนโลยีสารสนเทศสำหรับผู้บริหาร : ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับเทคโนโลยีสารสนเทศข้อมูลและสารสนเทศมีความสัมพันธ์กันดังนี้ ข้อมูลเป็นข้อเท็จจริงเกี่ยวกับบุคคล สิ่งของ หรือเหตุการณ์ต่าง ๆ อาจเป็นตัวเลข ตัวอักษร ข้อความ ภาพหรือเสียงที่ยังใช้ประโยชน์ไม่ได้ นำมาผ่านกระบวนการประเมินผลให้เป็นสารสนเทศ ที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการปฏิบัติงานขององค์กร ด้านการวางแผน การตัดสินใจและการดำเนินงาน ซึ่งในปัจจุบันจะใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ (IT) คือ เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ ได้แก่ ฮาร์ดแวร์ ซอฟแวร์ และเทคโนโลยีการสื่อสารโทรคมนาคม ทำหน้าที่จัดเตรียมระบบสารสนเทศ ตั้งแต่ขั้นตอนการรับข้อมูลเข้า(Input)การประมวลผล(Processing) และการส่งออก (Output) เพื่อให้ได้สารสนเทศที่ต้องการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานการผลิตสินค้าและบริการ สร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน
คุณสมบัติของข้อมูล/สารสนเทศที่ดี
1. มีความถูกต้องเชื่อถือได้
2. สามารถตรวจสอบได้
3. ทันสมัย
4. ตรงตามความต้องการของผู้ใช้
5. มีความยืดหยุ่น
6. มีความสมบูรณ์ในตัวเอง
7. กะทัดรัด
8. ใช้งานง่าย
9. ประหยัด
10. สามารถเผยแพร่ได้
โครงสร้างของระบบสารสนเทศมีลักษณะคล้ายรูปปิรามิด 4 ระดับ ซึ่งแต่ละระดับจะมีความแตกต่างกันในด้านการใช้สารสนเทศ ดังนี้
ระดับที่ 1 สารสนเทศที่ได้จากการประมวลผล ระดับนี้มีฐานกว้างและแคบ แสดงให้เห็นว่าผู้ใช้ต้องการสารสนเทศที่ละเอียด เป็นการจัดเตรียมสารสนเทศเบื้องต้นเพื่อจัดทำรายงานให้ระดับสูง
ระดับที่ 2 สารสนเทศสำหรับวางแผนการปฏิบัติงาน เป็นสารสนเทศที่ละเอียดที่ผู้บริหารระดับต้นจะใช้เพื่อพัฒนางาน สนับสนุนการดำเนินงานประจำวัน(วางแผน ดำเนินงาน ตัดสินใจ) และควบคุมการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติให้มีประสิทธิภาพ
ระดับที่ 3 สารสนเทศสำหรับวางแผนยุทธวิธี เป็นสารสนเทศที่สรุป ที่ผู้บริหารระดับกลางนำไปใช้เพื่อตัดสินใจและวางแผนระยะสั้น
ระดับที่ 4 สารสนเทศสำหรับการวางแผนกลยุทธ์ เป็นสารสนเทศที่สรุปและมีความชัดเจนที่ผู้บริหารระดับสูงใช้สำหรับวิเคราะห์แนวโน้ม ตัดสินใจและวางแผนระยะยาว โครงสร้างของระบบสารสนเทศแบ่งตามกิจกรรมก็จะมีลักษณะคล้ายรูปปิรามิดเหมือนกัน องค์กรที่มีกิจกรรมการทำงานต่างกันก็จะมีความต้องการสารสนเทศที่ต่างกัน ระดับล่างจะมีกิจกรรมที่ต้องปฏิบัติงานตามที่ได้รับมอบหมาย ระดับสูงการปฏิบัติกิจกรรมเป็นลักษณะการวางแผนและบริหารงานทั้งองค์กร โดยนำสารสนเทศจากระบบงานย่อยๆ ในระดับล่างมาช่วยตัดสินใจ โดยมีฐานข้อมูลเป็นตัวกลางเชื่อมโยงระบบงานย่อย ๆ ซึ่งแบ่งสารสนเทศตามกิจกรรมของหน่วยงานได้ 3 ประเภท ดังนี้
1. สารสนเทศที่ได้จากการประมวลผลรายการ
2. สารสนเทศเพื่อการดำเนินการ
3. สารสนเทศเพื่อสนับสนุนการตัดสินใจ การไหลเวียนของสารสนเทศเป็นการนำสารสนเทศที่ไหลเวียนอยู่ในระบบเชื่อมต่อไปยังหน่วยงานระดับต่าง ๆ ทั้งแนวดิ่ง ทุกระดับในองค์กร และแนวระดับจากระบบงานย่อย ยกเว้นระดับ 1 สารสนเทศจะไหลเวียนแนวเดียวคือแนวดิ่ง มีประโยชน์เพื่อให้การดำเนินงานบรรลุเป้าหมายขององค์กร สารสนเทศถือเป็นทรัพยากรหนึ่งที่สำคัญขององค์กร มีความจำเป็น/ประโยชน์ต่อการบริหารงานด้านการวางแผน การดำเนินงานและการตัดสินใจ ดังนั้นต้องมีการจัดการอย่างเหมาะสมเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดต่อองค์กร
นโยบายเทคโนโลยีสารสนเทศ ระยะ พ.ศ. 2544-2553 ได้กำหนดเป้าหมายและยุทธศาสตร์การพัฒนาด้านการศึกษา เพื่อสร้างความพร้อมของทรัพยากรมนุษย์เพื่อช่วยกันพัฒนาให้เกิดสังคมแห่งภูมิปัญญา และการเรียนรู้ที่มีคุณภาพ และกระทรวงศึกษาธิการได้จัดทำแผนแม่บทเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ปี พ.ศ. 2550-2554 กำหนดวิสัยทัศน์ ให้ผู้เรียน ผู้สอน บุคลากรทางการศึกษาและประชาชนใช้ประโยชน์จาก ICT ในการเข้าถึงบริการทางการศึกษา ได้เต็มศักยภาพ อย่างมีจริยธรรม มีสมรรถนะทาง ICT ตามมาตรฐานสากล กำหนดพันธกิจและยุทธศาสตร์เพื่อยกระดับมาตรฐานการเรียนรู้โดยใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์เป็นเครื่องมือในการพัฒนาคุณภาพการศึกษา เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการและการให้บริการทางการศึกษา และผลิตและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรบุคคลด้าน ICT ผู้บริหารการศึกษาซึ่งเป็นผู้กำหนดนโยบายและทิศทางการศึกษาจะต้องเห็นความสำคัญของเทคโนโลยีสารสนเทศ ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว อยู่ตลอดเวลา ผู้บริหารต้องพัฒนาบุคลากรทางการศึกษาให้มีความรู้ความสามารถในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อนำมาช่วยในการจัดการศึกษา และต้องส่งเสริมให้นำระบบอิเล็กทรอนิกส์มาประยุกต์ใช้ในการจัดการศึกษาเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษา
ประโยชน์ที่มีของระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ต (Internet) ต่อกระบวนการจัดการศึกษา การจัดการศึกษารูปแบบเดิมจะจัดการเรียนการสอนในห้องเรียน มีครูทำหน้าที่สอนอยู่หน้าชั้นเรียน โดยใช้สื่อประกอบการสอน นักเรียนต้องเข้าเรียน การจัดการศึกษาถึงจะเกิดขึ้น ความเจริญก้าวหน้าของเทคโนโลยีสารสนเทศ ทำให้มีระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ต การติดต่อสื่อสาร การสืบค้นข้อมูลและแลกเปลี่ยนความรู้ต่าง ๆ สะดวก รวดเร็ว กว้างขวางและทั่วถึงมากขึ้น ผู้เรียนสามารถศึกษาหาความรู้/เรียนรู้ได้ด้วยตนเองตลอดเวลาตามความสนใจและความถนัด สามารถตอบสนองความต้องการของผู้เรียนเป็นรายบุคคล และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของการจัดการศึกษาทั้งในระบบ นอกระบบ และการจัดการศึกษาตามอัธยาศัย เช่น การศึกษาทางไกล (Distance Learning) การเรียนการสอนผ่านระบบวีดีโอ คอนเฟอร์เรนส์ (Video Conference) ระบบการเรียนแบบออนไลน์ (e-Learning) ระบบคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (Computer-Aided-Instruction : CAI) หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (e-Book)
เปรียบเทียบข้อดีข้อเสียของการใช้โปรแกรมประยุกต์บนอินเตอร์เน็ตเมื่อเทียบกับการติดตั้งโปรแกรมใช้งานบนเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล
ข้อดีของการใช้โปรแกรมประยุกต์บนอินเตอร์เน็ต
1. ไม่จำเป็นต้องติดตั้งโปรแกรมที่เครื่อง
2. สามารถใช้งานได้ทุกที่ ทุกเวลาทั่วโลกผ่านระบบอินเตอร์เน็ต
ข้อเสียของการใช้โปรแกรมประยุกต์บนอินเตอร์เน็ต
1. มีความเสี่ยงของข้อมูลสูง (ปลอดภัยน้อย)
2. ประสิทธิภาพของโปรแกรมด้อยกว่า
ข้อดีของการติดตั้งโปรแกรมใช้งานบนเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล
1. มีความเสี่ยงของข้อมูลน้อย (ปลอดภัยสูง)
2. ประสิทธิภาพของโปรแกรมดีกว่า
3. การใช้งานง่ายและเร็วกว่าเพราะติดตั้งบนเครื่องของตนเอง
ข้อเสียของการติดตั้งโปรแกรมใช้งานบนเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล
1. ต้องติดตั้งโปรแกรมที่เครื่อง ทุกเครื่องเมื่อต้องการใช้งาน
2. ใช้งานได้เฉพาะเครื่องนั้น ๆ
3. เสียค่าใช้จ่ายในการติดตั้งโปรแกรม

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น